คุณประโยชน์ของใบมะรุม



***คัดลอกข้อมูลมาจาก "หนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2"
มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต โดย ดร.วิไลวรรณ อนุสารสุนทร***


ใบมะรุมสด

เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป การใช้ใบสดปรุงอาหารต่างๆ สามารถทำได้ตามความต้องการและความถนัด เนื่องจากใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง ฉะนั้นไม่ควรให้ทารกในวัยเจริญเติบโตถึง 2 ขวบรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป

ใบมะรุมสด ก็เหมือนผักใบเขียวทุกชนิด ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เพราะจัดเป็นยาถ่ายประเภทหนึ่ง เมื่อเริ่มรับประทาน บางท่านอาจจะมีอาการท้องเสีย อาการต่างๆ มิได้เกิดขึ้นกับทุกคน เข้าใจว่าเป็นไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ผู้เขียนมีอาการง่วงขนาดหนักจนขับรถแทบไม่ได้ ส่วนบุตรชายของผู้เขียนและ ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ มีผื่นลมพิษทันทีหลังรับประทาน

ผู้เขียนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ซึ่งท่านได้ให้คำอธิบายว่า เป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้สะสมสารพิษไว้เป็นจำนวนมาก หากเกิดอาการเช่นนี้ให้หยุดรับประทานชั่วคราวแล้วเริ่มใหม่ ทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง อาการจะดีขึ้นตามลำดับ จากผลการทดลองของเวิร์ดเซิสยังไม่พบผู้มีอาการแพ้เลย แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์พบว่า มีผู้ที่เกิดอาการแพ้ภายหลังรับประทานใบมะรุม โดยมีอาการวิงเวียนศรีษา ในกรณีนี้ท่านแนะนำให้รับประทานใบแมงลัก อาการวิงเวียนศรีษะก็จะหายไป การรับประทานใบสด ไม่ควรถูกความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารหลายชนิด ใบสดใช้จิ้มน้ำพริก ใส่แกง ใส่สลัด และใส่แซนวิช

ใบสดเปล่าๆ จะมีรสเผ็ด แต่เมื่อนำมารับประทานกับข้าวหรือแซนวิชจะไม่รู้สึกเผ็ดเลย ในระยะแรกๆ ผู้เขียนรูดใบสดรับประทานกับข้าวและอาหารต่างๆ ทุกมื้อ

จากหนังสืออ้างอิงของ ดร.ฟุคเล่ย กล่าวว่า ถ้าคั้นใบมะรุมสดดื่มวันละ 1 ช้อนโต๊ะ จะสามารถรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ และควบคุมความดันโลหิตสูงได้ด้วย ผู้เขียนยังไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้มีความดันต่ำ ว่าจะช่วยได้หรือไม่

การรับประทานใบมะรุมสดสำหรับเด็กเล็ก ที่เริ่มรับประทานอาหารได้จนถึงอายุ 3-4 ขวบ ควรใส่เพียงเล็กน้อย

ถ้าคั้นเป็นน้ำ ควรใส่เพียงวันละ 1-2 หยด ผสมอาหารหรือเครื่องดื่ม ยกเว้นเด็กที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จึงควรเพิ่มขนาดตามสมควร จากนั้นจึงค่อยเพิ่มปริมาณทีละน้อยๆ ตามอายุและความเหมาะสม ไม่ควรให้เกินขนาดเพราะสำหรับเด็กในวัยเติบโต การให้ธาตุเหล็กเกินขนาดกลับจะให้โทษมากกว่าคุณ

วัยรุ่นและผู้ใหญ่ วันละ 1-3 กิ่ง รับประทานสด หรือใช้ประกาอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้หใญ่และ 1 ช้อนชาสำหรับเด็กวัยรุ่น ถ้ามีอาการท้องเสียให้ลดจำนวนลง แล้วค่อยๆ เพิ่ม อาการจะดีขึ้น การรับประทานสม่ำเสมอจะสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย

ผู้เขียนและสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนเพื่อนๆ รวมทั้งพระสงฆ์วัดป่าธรรมชาติหลายรูปรับประทานเป็นประจำ ในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเจ็บป่วยหรือเป็นไข้หวัด หรือแม้แต่อาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงที่เคยเป้นมานานก็พลอยหายไปด้วย จะมีก็แต่อาการหวัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



การรับประทานใบตากแห้งจะให้ผลดีกว่าใบสด เพราะสามารถรับประทานได้มากกว่า ผลย่อมดีกว่า ทั้งยังสะดวกกับการพกติดตัวไปตามที่ต่างๆ แม้การรับประทานใบแห้งจะทำให้ขาดไวตามินซีไปบ้างก็ตาม แต่ก็สามารถหาทดแทนได้จากพืชผักและผลไม้ต่างๆ การรับประทานใบแห้งอาจชงดื่มเป็นน้ำชาซึ่งอาจให้ผลช้ากว่าในรูปของแคปซูล เมื่อผู้เขียนเริ่มรับประทานแคปซูลใหม่ๆ จะสังเกตและรู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดศรีษะหายไปพร้อมๆ กับอาการปวดเมื่อยตามข้อกระดูกภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน




ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก ดูเหมือนว่าอาการปวดจะรุนแรงขึ้นจนนึกอยากจะหยุดเสีย แต่เมื่อย่างเข้าอาทิตย์ที่ 4 อาการปวดต่างๆ ตามกล้ามเนื้อเริ่มหายไป และอาการนิ้วติดก้หายไปโดยไม่รู้ตัว ผิวพรรณก็ดูเปล่งปลั่งขึ้น สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด มะรุมจัดอยู่ในประเภทอาหารเป็นยา ดังนั้นย่อมส่งผลช้ากว่ายาสมัยใหม่ ต้องมีความอดทน และรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้อาจจะช้าแต่ก็คุ้มค่าทีเดียว